Thursday, September 4, 2014

นิพพิทาญาณ


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก






การทำสมาธิ ผู้ปฏิบัติจิตนี้สงบไหม ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ
อันปิติที่ได้นี้เป็นปิติที่มีโลภะ อยู่ด้วยหรือไม่
ให้ผู้ปฏิบัติพึงสังเกตุตนเอง

ก่อนที่จะเจริญสมาธิ
ผู้เจริญสมาธิประจักษ์ระลึกรู้อยู่ว่า จิตขณะนั้น ต้องเจริญสมาธิที่จิตที่เป็นกุศล จิตขณะนั้นมีปฏิฆะอยู่หรือไม่
โยนิโสมนัสสิการด้วยสติเจตสิก เพื่อ
1. เนกขัมมะโลภะ  โทสะ โมหะ เป็นอันดับแรก และก็เจริญสมาธิต่อไป  
2. และระหว่างการเจริญสมาธิของผู้ปฏิบัตินั้นประกอบโลภะและหรือมีโมหะอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เนกขัมมะ โลภะ  โทสะ โมหะ
3. เจริญมรณสติ พิจารณาความตาย 
"เรามีความตายเป็นธรรมดา"
"เรามีความตายเป็นแน่แท้"
4. ระหว่างเจริญสมาธิ ให้ระลึกตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราบังคับบัญชาร่างกายนี้ไม่ได้ มันต้องเจ็บป่วย ตาย 


นิพพิทาญาณ

ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ
ปัญญากำหนดพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูปนามคือเมื่อ เห็นทุกข์เห็นโทษของรูปนามแล้ว ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย ไม่รื่นเริง
เพลิดเพลินหลงใหลในรูปนาม
ให้ถามผู้ปฏิบัติว่า “จิตใจกระฉับกระเฉงไหม” บางท่านเมื่อญาณนี้เกิดแล้วจะตอบว่า โอย...เดี๋ยวนี้จิตใจห่อเหี่ยว อยากอยู่ในที่สงบ
ให้จงได้ ถามว่า “กำหนดดีไหม พอใจในการกำหนดไหม หรือข่มใจกำหนด”
ถามเวลาเดิน นั่ง ว่า “พอใจทำหรือข่มใจทำ ทานอาหารอร่อยไหม” บางท่านทานอาหารไม่อร่อยเลย เบื่ออาหาร อาเจียน ผู้ปฏิบัติธรรมสูงๆ
เห็นอวัยวะสืบพันธุ์เป็นของปฏิกูลน่าเกลียด ไม่ทานข้าว อาเจียน บ้วนน้ำลายทั้งวันก็มี บางท่านบางรูปเหมือนสุกกะไหลขึ้นคอ จะอาเจียน
ออกมาให้ได้ แสดงว่าสภาวะชัดเต็มที่แล้ว เกิดอาการเบื่อคนเบื่อไม่อยากจะสอบอารมณ์ ไม่อยากเห็นใคร อยากอยู่คนเดียว ถ้าเป็นญาติโยม
เบื่อเพศคฤหัสถ์ อยากออกบวชเป็นบรรพชิตบำเพ็ญศีลธรรม ถ้าเป็นพระก็อยากสึก เบื่อพรหมจรรย์ อยากจะไปเป็นคฤหัสถ์ หลวงพ่อเคยคิด
เบื่อว่าเมื่อเราอายุ ๗๐ ปี ๘๐ ปีจะทนสู้ญาติโยมไหวหรือเปล่า ถ้าผู้ปฏิบัติปฏิบัติมาถึงญาณนี้แล้ว ไม่อยากได้อะไร จิตใจหงอยเหงา คล้ายๆ
พลัดพรากจากของรักของชอบใจมา คิดเห็นเจ้าหญิงคุณนายทั้งหลายก็ตายเหมือนกัน เกิดความเบื่อหน่าย จิตใจก็น้อมเข้าสู่พระนิพพาน
กลิ่นธูปเพียงก้านเดียวเหมือนกลิ่นธูปร้อยก้านพันก้าน บางท่านหอมกลิ่นปัสสาวะ สูดดมเหมือนกลิ่นดอกเกตุสำหรับผู้ที่ขากเสลดรบกวน
ผู้อื่นในเวลาปฏิบัติ ในเมื่อบาปกรรมตามทัน จะมีสิ่งที่จะทำให้เกิดความเหม็น ทำให้เน่าอยู่เสมออาการของการเหม็นจะเริ่มที่ตัวเองก่อน
แล้วเหม็นพ่อแม่พี่น้องไปเรื่อย ไปจนถึงเทวดาพรหม ญาณนี้น้อยคนจะเป็นแรงๆ ถ้าอาการหอม หอมจนกลิ่นหอมปรากฏชัดเป็นตัวแล้วบิน
เข้าจมูกอย่างแรง เหมือนตัวต่อตัวแตน เกิดความกลัวตลอดเวลา อุปกิเลสที่เกิดในญาณนี้จะกำหนดไม่หาย ปีติในญาณนี้เกิดขึ้นจนเบื่อ
การกำหนดเวทนาในญาณนี้กำหนดก็ไม่หาย นิมิตก็ไม่หาย จงพยายามให้สังเกตอาการ อารมณ์จะดีก็ตามชั่วก็ตามจะเป็นไปในความเบื่อหน่าย
ถ้าเกิดแก่กล้าจะเบื่ออาหาร เบื่อตนเอง เบื่อคน เทวดา พรหม เบื่อการปฏิบัติ แต่สามารถข่มใจให้ปฏิบัติได้อยู่ แสดงว่าอยู่ในญาณที่ ๘
ส่วนญาณที่ ๙ เลิกเลย ญาณที่ ๘ นี้เป็นญาณเกลียดเพื่อน คอยแต่จะจับผิดคนอื่น ให้เราสังเกตง่ายๆ คนที่เคยพูดมากพูดง่ายพูดดี
เมื่อมาถึงญาณนี้จะไม่ค่อยพูด ซึมๆ เหงาๆ หงอยๆ ปีติในญาณที่ ๘ นี้เป็นเหมือนจะเหาะได้ (สำหรับญาณที่ ๗ ผู้ปฏิบัติที่เป็นนักดนตรีเก่าจะชอบร้องเพลง)
เวลาปฏิบัติต้องให้ลูกศิษย์เห็นกรรมของตัวเอง แล้วให้ตัดกรรมตัวเอง โดยเฉพาะพวกโจร ให้ตั้งขัน ๕ จัดดอกไม้ ธูปเทียน ขัดสัคเคเทวดา
แล้วอาจารย์กล่าวนำว่า “ต่อหน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้า พระ,นาย................จะเลิกจากการทำกรรมไม่ดีนั้นเด็ดขาด ถ้าไม่เลิก.................
และด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าละกรรมไม่ดีนั้นได้ แล้ว ขอให้ข้าพเจ้า........................ตลอดถึงพ่อแม่ ครอบครัว และสรรพสัตว์ จงพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเถิด”
เป็นต้น ให้ลูกศิษย์เห็นกรรม เพื่อคลายทิฏฐิของเขา อย่าปล่อยให้ตามกรรมเวลาสอบอารมณ์ ต้องสอบถามว่าผ่านมาตามลำดับหรือเปล่า
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://www.watpitchvipassana.com/paripunnadhamma-part1/นิพพิทาญาณ.html
นิพพิทาญาณเป็นไฉน?
นิพพิทาญาณ คือ ญาณเบื่อโลก คือ ปัญญาที่หยั่งรู้เท่าถึงความไม่จีรัง ความมายา ความทุกข์ ความหลงมัวเมาที่เต็มอยู่ในโลก
ความรู้สึกที่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกีย์อย่างยิ่ง เบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกอย่างยิ่ง จนละทิ้งบ้านเรือนออกแสวงหาสัจธรรม นี่คือ อาการของนิพพิทาญาณ
ซึ่งจะเกิดเมื่อ จิตผู้หนึ่งมีความสงบสุขสงัดทางธรรมมากๆ แล้วหันกลับไปมองทางโลกก็รู้สึกแตกต่างจากความสุขทางธรรมได้แจ้งชัด ชัดเจน จึงหันหลังให้ทางโลก
หรือเกิดจากความเบื่อสุดระอา เพราะความทุกข์อย่างยิ่งทางโลก แล้วได้พบธรรมเข้าพอดี เกิดความสงบสุขได้ จิตละจากทางโลกได้ฉับพลันเข้าหาทางธรรมทันที
ก่อนที่จะไม่เหลือจิตสมประดี เช่น กรณีหญิงบ้าที่แก้ผ้าเข้าวัดไปหาพระพุทธองค์ สติของนางยังพอมีเหลืออยู่บ้างยังไม่ถึงขนาดขาดหมดไม่สมประดี เมื่อได้พบธรรม
ได้พบพระพุทธเจ้า ก็เหมือนมีพระมาโปรดให้ใจชุ่มเย็น ดับความเร่าร้อน แล้วได้สติ เห็นทางธรรมเป็นทางรอด จนได้บรรลุธรรมในที่สุด นี่ก็ต้องมีนิพพิทาญาณเกิดขึ้นก่อน

ทำไมต้องได้นิพพิทาญาณ?
สำหรับท่านที่ฝึกสมาธิแล้วไม่ได้ฌาน ย่อมยังผลให้ไม่ได้ญาณด้วย นั่นหมายถึง ไม่เกิดนิพพิทาญาณขึ้นเลย ไม่มีความเบื่อหน่ายเรื่องโลกีย์ถึงขั้นละทิ้งบ้านเรือนเลย
บุคคลนั้นแม้ได้เปรียญเก้าประโยค มีความรู้ทางธรรมท่วมหัว ก็ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากความทุกข์ไปได้ ไม่อาจเอาตัวพ้นเสียจากนรกไปได้
(เพราะไม่บรรลุโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายในสามภพ นั่นหมายถึง นรกด้วย) ดังนั้น บุคคลผู้ฝึกสมาธิ หากไม่ได้ฌาน ก็ไม่ได้ญาณ เมื่อไม่ได้ญาณ นิพพิทาญาณไม่เกิด
แล้วจะบรรลุธรรมได้อย่างไร เช่นนี้ นรกย่อมมีอยู่เบื้องหน้าเขาผู้นั้นเป็นแน่แท้ ไม่แปรอื่น ไม่ชาติภพใดก็ชาติภพหนึ่ง ไม่อาจพ้นไปได้

ฝึกสมาธิไม่ได้ฌานและญาณเท่ากับสูญเปล่า
คนที่ฝึกสมาธิได้อภิญญามากมาย เช่น ฤษีในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดนั้น บ้างได้ตายลงไปเกิดเป็นงู เป็นสัตว์นรก ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้น ฝึกสมาธิขั้นสูง ได้อภิญญามากมาย
แต่เสียดาย พวกเขาไม่ได้ญาณหยั่งรู้ที่สำคัญอันนำไปสู่การบรรลุธรรม ทำให้ต้องวนเวียนในสามภพไม่สิ้นสุดไปได้ ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำอย่างยิ่งว่า ฝึกสมาธิไม่ใช่เพื่อให้ได้แค่สมาธิ
แต่ต้องให้ได้ฌาน แล้วฝึกฌานเพื่อให้ได้ญาณ อนึ่ง ญาณหยั่งรู้ทั้งหลายญาณใดๆ ไม่เท่านิพพิทาญาณเป็นจุดเริ่มต้น เนื่องจากเป็นความหยั่งรู้ในความน่าเบื่อของเรื่องทางโลกีย์ที่ไม่สิ้นสุด
จึงเป็นญาณเปิดทางสู่การบรรลุธรรมโดยแท้

การฝึกวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ
นับเป็นความล่อแหลมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอย่างยิ่ง สำหรับการฝึกเอานิพพิทาญาณในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฌาน เพราะจิตที่อ่อนกำลัง ไม่มีความสงบสงัดรองรับสภาวะความจริงอันน่าเบื่อของโลก
ความมายาหลอกลวงของโลก ความไม่เที่ยงไม่จีรังของโลก ความทุกข์ระทมของโลก ความลุ่มหลงมัวเมาของโลกนั้น ย่อมอาจนำบุคคลไปสู่การฆ่าตัวตายหนีโลกได้ ดังนั้น ก่อนการฝึกวิปัสสนาญาณ
เพื่อนิพพิทาญาณ จึงต้องมีการเตรียมใจเตรียมจิตให้พร้อม คือ ควรได้ฌานสี่ ในระดับที่คล่องแคล่วพอควร และแน่วแน่ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ควรมีทั้งวสีในฌานและตบะในฌานในระดับหนึ่ง
เพราะหากขาดวสีในขณะที่เห็นความจริงอันแสนน่าเบื่อของโลกแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ฌาน รองรับอารมณ์สภาวธรรมไม่ทัน และเกิดอาการ “จิตตก” จนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในขณะที่บางท่านไม่มี “ตบะ”
เลย เมื่อได้เห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกนี้แล้ว แม้จิตเข้าสู่ภาวะฌานรออยู่ แต่หากได้เห็นความจริงของโลก แล้วเกิดอาการฌานเสื่อมถอยเพราะจิตตกทันควัน ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ดังนั้น
ก่อนการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณ ควรมีทั้งวสีและตบะในฌานในระดับหนึ่ง จึงไม่ขอกล่าวอธิบายเรื่องการทำวิปัสสนาญาณเพื่อนิพพิทาญาณต่อไปในบทความนี้ (จำต้องถ่ายทอดตัวต่อตัว)
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=239156

แหล่งที่มารูปภาพ :

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/10/Y4782286/Y4782286.html